การแทรกสอดความสัมพันธ์ทวิภาคี
ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล1
ความสัมพันธ์ทวิภาคีหรือสองฝ่ายระหว่างสองรัฐหรือสองประเทศนั้น ตามหลักกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศเป็นเรื่องของประเทศคู่กรณี ประเทศที่สามหรือประเทศที่มิใช่คู่กรณีหรือคู่สัญญาจะเข้ามาแทรกแซงไม่ได้ หลักประกันการไม่แทรกแซงคือกฏหมายระหว่างประเทศที่บัญญัติไว้หลายรูปแบบและหลายลักษณะในกฏบัตรสหประชาชาติ อาทิ หลักการไม่ใช้กำลัง “non-use of force” (ข้อ 2 วรรค 4) หลักการไม่แทรกแซง “non-intervention” และ หลักการไม่แทรกสอด “non-interference” (ข้อ 2 วรรค 7)
หลักดังกล่าวนี้กำหนดไว้ชัดเจนในจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทวิภาคี ภาษิตลาตินซึ่งมาจากกฎหมายโรมันใช้ถ้อยคำว่า “pacta tertii nec nocent nec prosunt” หมายถึงสนธิสัญญาหรือสัญญานั้นๆ ย่อมไม่เอื้อประโยชน์หรือก่อพันธกรณีให้ประเทศที่สาม รัฐที่สามหรือองค์การระหว่างประเทศจึงไม่มีอำนาจหรือสิทธิใดๆที่จะเข้ามาแทรกแซงเรื่องไทยกับกัมพูชาซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทวิภาคี ไทยไม่จำเป็นต้องอาศัยบันทึกความเข้าใจหรือ MOU เพื่อยืนยันหลักกฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใด ทั้งนี้ เพราะ MOU ไม่ผูกพันประเทศที่สามหรือรัฐอื่น ความขัดแย้งใดๆ ระหว่างรัฐอยู่ในข่ายบังค้บของข้อบทที่ 33 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ส่วนการเจรจานั้น หากจะกระทำในประเทศที่สามก็สามารถทำได้ แต่เป็นเพียงการใช้สถานที่เท่านั้น
อนึ่ง ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับกิจการภายในของแต่ละรัฐไม่ว่าไทยหรือกัมพูชา ประเทศที่สามหรือองค์การระหว่างประเทศไม่มีอำนาจหน้าที่เข้ามาแทรกสอด (กฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 2 วรรค 7) ดังกรณีตัวอย่างมากมายในรายงานสหประชาชาติทั้งในมติที่ประชุมสมัชชา และมติของคณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) เว้นไว้แต่กรณีที่กระทบถึงการละเมิดสันติภาพ (Breach of the Peace) หรือการคุกคามสันติภาพ (Threat to the Peace) ในระดับนานาชาตินอกเหนือจากกิจการภายในหรือความสงบเรียบร้อยของแต่ละรัฐ
เนื่องจากไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นสมาชิกสหประชาชาติ กฎบัตรสหประชาชาติย่อมผูกมัดทั้งสองประเทศ ข้อ 2 วรรค 7 และข้อ 33 ของกฏบัตรฯ จึงเป็นหลักประกันการไม่แทรกสอดของประเทศที่สามหรือองค์การระหว่างประเทศโดยไม่จำเป็นต้องใช้ MOU หรือ JBC ตอกย้ำหลักกฏหมายระหว่างประเทศตามกฎบัตรหรือจารีตประเพณีระหว่างประเทศแต่อย่างใด อนึ่ง นอกจากไม่ช่วยในการสกัดกั้นการแทรกสอดของมือที่สาม ข้อความบางตอนในเอกสารดังกล่าวยังส่งผลให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียอันเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
จุดอ่อนของประเทศหรือรัฐบาลไทยไม่แตกต่างจากประเทศที่กำลังพัฒนาทั่วไป คือไม่ศึกษาหรือให้ความสนใจกฎหมายระหว่างประเทศ หรือกฎบัตรสหประชาชาติ หรือแม้แต่กฏบัตรอาเซี่ยนหรือปฎิญญาบันดุง หากไทยให้ความสำคัญกับพันธกรณีระหว่างประเทศเบื้องต้น ก็จะสามารถดำเนินการและปฏิบัติตามอย่างถูกต้องและชอบธรรม โดยเฉพาะปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาในปัจจุบัน ไทยไม่ควรหวั่นวิตกว่าจะมีประเทศที่สามหรือองค์การระหว่างประเทศเข้ามาแทรกสอดในกิจการภายในหรือความสัมพันธ์ทวิภาคี
ฉะนั้น ไทยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสนใจศึกษากฎหมายระหว่างประเทศอย่างละเอียดและลึกซึ้ง ต้องมีความแม่นยำในตัวบทกฎหมาย กฎบัตรสหประชาชาติ และสนธิสัญญา ทั้งนี้ เพื่อความพร้อมในการเผชิญปัญหาระหว่างประเทศด้วยความมั่นใจในสถานะภาพของตนเอง
หน้าที่ของปวงชนชาวไทยคือรักษาไว้ซึ่งสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทับซ้อน หรือแสวงหาทรัพยากรหรือพลังงานในพระราชอาณาเขตประเทศไทยโดยมิชอบด้วยกฏหมาย
ศ. ดร. สมปอง สุจริตกุล
วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
- ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล
- ศาสตราจารย์เกียรติคุณกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายเปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยโกลเดนเกท ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
- สมาชิกสถาบันอนุญาโตตุลาการองค์การกฎหมายเอเชีย-แอฟริกา ณ กรุงไคโร และกัวลาลัมเปอร์
- อดีตเลขาธิการอาเซียน (ประเทศไทย)
- อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส โปรตุเกส อิตาลี กรีก อิสราเอล และองค์การตลาดร่วมยุโรป
- อดีตหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำ UNECO และ FAO
- อดีตสมาชิกศูนย์ระงับข้อพิพาทการลงทุนศาลอนุญาโตตุลาการธนาครโลก ICSID World Bank
- อดีตกรรมาธิการสหประชาชาติเพื่อการพิจารณาค่าชดเชยความเสียหายในประเทศคูเวต (UNCC)
- ทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. ๑๕๐๒-๒๕๐๕
[↩]