ความผิดพลาดของแผนที่
ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ระหว่างออกรายการพิเศษถกประเด็นมรดกโลก พระวิหาร และ MOU ร่วมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 วันที่ 8 สิงหาคม 2553
ศ. ดร. สมปอง สุจริตกุล1
ข้าพเจ้าขอถือโอกาสย้ำอีกครั้งถึงความผิดพลาดของแผนที่ที่กัมพูชานำมาใช้ประกอบเอกสาร แผนที่ฉบับนี้ทำขึ้นโดยกรรมการฝรั่งเศสในคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสโดยไทยมิได้มีส่วนร่วม แผนที่ดังกล่าวมีความผิดพลาดอย่างมหันต์เนื่องจากเส้นเขตแดนคลาดเคลื่อนจากข้อตกลงในสนธิสัญญาซึ่งระบุว่าสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขต ทั้งนี้ ได้มีผู้พิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ 3 ท่านในคดีปราสาทพระวิหารได้ชี้ให้เห็นความไม่ถูกต้องของแผนที่ไว้อย่างละเอียดถึง 46 หน้าในคำพิพากษาแย้ง (พ.ศ. 2505) ข้าพเจ้าขออธิบายเพิ่มเติมว่า คำพิพากษาแย้งมิใช่เป็นเพียง ‘ความเห็น’ ตามที่หลายท่านเข้าใจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาซึ่งมีผลผูกพันคู่กรณี
ในประวัติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยังไม่มีประเทศหนึ่งประเทศใดได้ดินแดนของอีกประเทศโดยทำแผนที่ผิด รุกล้ำเข้าไปในดินแดนของอีกฝ่ายโดยลากเส้นตามใจชอบ กรณีแรกน่าจะเป็นประเทศกัมพูชาซึ่งใช้แผนที่ที่รู้ดีอยู่แล้วว่ามีเส้นเขตแดนที่ผิดพลาดเป็นเครื่องกำหนดเขตแดน แผนที่ฉบับดังกล่าวทำขึ้นโดย พ.อ. แบร์นาร์ด (ฝรั่งเศส) ร.อ. ทริกซิแอร์ (ฝรั่งเศส) และ ร.อ. อุ่ม (เขมร) ซึ่งลากเส้นเขตแดนตามอำเภอใจโดยไม่คำนึงถึงสันปันน้ำซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตที่แท้จริงตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาและพิธีสาร ค.ศ. 1907
นอกจากนั้น MOU พ.ศ. 2543 ยังใช้เอกสารอ้างอิงถึง 3 ฉบับคือ (1) อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 (2) สนธิสัญญาและพิธีสาร ค.ศ. 1907 และ (3) แผนที่ผนวก 1 มาตราส่วน 1:200,000 แผนที่ดังกล่าวเป็นที่ปรากฏอย่างชัดเจนมาช้านานกว่า 50 ปีแล้วว่าผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพิจารณาคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศไทยได้อ้างอิงเอกสารหลักฐานของศาสตราจารย์ สเกร์เมอร์ฮอร์น พยานผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันแผนที่เมืองเดล์ฟ ประเทศเนเธอร์แลนด์ จากผลจากการสำรวจของนายอัคเคอร์มานน์ รายงานผู้เชี่ยวชาญที่ไทยได้ยื่นต่อศาลฯ แสดงว่า เส้นเขตแดนในแผนที่ผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชาได้ถูกกำหนดขึ้นโดยมิได้เป็นไปตามเส้นสันปันน้ำตามที่กำหนดไว้ในบทนิยามแห่งความตกลงที่ไทยกับฝรั่งเศสได้กระทำขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1904 และมีการยืนยันในปี 1907 ฉะนั้น เส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่ผนวก 1 จึงผิดพลาดโดยสิ้นเชิง
ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ทุกครั้งที่ฝรั่งเศส (ในอดีต) หรือกัมพูชา ถือโอกาสเสนอแผนที่ที่ผิดพลาดแทรกเข้ามาเป็นเอกสารลำดับที่ 3 ใน MOU 2543 2544 และ TOR 2546 รวมทั้งในแถลงการณ์ร่วม พ.ศ. 2551 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเอกสารที่มิชอบ ไทยจำเป็นต้องทักท้วงหรือตั้งข้อสังเกตไว้
แผนที่ที่ผิดพลาดย่อมใช้ไม่ได้และไม่มีผล แต่กัมพูชาก็หยิบยื่นหรือยัดเยียดให้ไทยเช่นเดียวกับที่ฝรั่งเศสได้กระทำเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว ไทยชอบที่จะตั้งข้อสังเกตและคัดค้านอย่างชัดเจน มิใช่เกรงใจหรือเกรงกลัว ไม่กล่าวถึงซึ่งหมายถึงการยอมรับโดยดุษณีย์
อนึ่ง ในการเจรจาสองฝ่ายหรือทวิภาคี คู่เจรจามีหน้าที่พูด มิใช่ฝ่ายหนึ่งพูดแต่อีกฝ่ายรับฟังสถานเดียว โดยเฉพาะในกรณีที่มีผลกระทบถึงอธิปไตยของประเทศชาติซึ่งมีความสำคัญสูงสุด การไม่โต้แย้งจะนำมาซึ่งกฎหมายปิดปากเช่นในอดีต และครั้งนี้ไทยจะต้องอัปยศยิ่งกว่าเพราะมิได้ถูกปิดปากโดยฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจ แต่ถูกปิดปากโดยอดีตประเทศราชย์ของไทยเอง
ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล
วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
- ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล
- ศาสตราจารย์เกียรติคุณกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายเปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยโกลเดนเกท ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
- สมาชิกสถาบันอนุญาโตตุลาการองค์การกฎหมายเอเชีย-แอฟริกา ณ กรุงไคโร และกัวลาลัมเปอร์
- อดีตเลขาธิการอาเซียน (ประเทศไทย)
- อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส โปรตุเกส อิตาลี กรีก อิสราเอล และองค์การตลาดร่วมยุโรป
- อดีตหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำ UNECO และ FAO
- อดีตสมาชิกศูนย์ระงับข้อพิพาทการลงทุนศาลอนุญาโตตุลาการธนาครโลก ICSID World Bank
- อดีตกรรมาธิการสหประชาชาติเพื่อการพิจารณาค่าชดเชยความเสียหายในประเทศคูเวต (UNCC)
- ทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. ๑๕๐๒-๒๕๐๕
[↩]