กะล่อน
เมื่อคืนดูรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล “จัดชุดใหญ่” ถลกความปลิ้นปล้อนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สะกิดกับคำพูดเล็ก ๆ ที่คุณสนธิกล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ว่า “กะล่อน” คำพูดเดียวกันที่ผมเขียนถึงเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว เป็นข้อสรุปจากข้อสังเกตใน ๒ กรณี คือการเช่ารถเมล์เอ็นจีวีและปราสาทพระวิหาร วันนั้นเราได้ข้อสรุปจากการติดตามสถานการณ์มาต่อเนื่องว่านายกรัฐมนตรีหนุ่มผู้นี้ “กะล่อน ปลิ้นปล้อน ตอแหล”
ในรายการเมืองไทยฯ คุณสนธิและพิธีกรนำคลิปคำชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ ต่อกรณีการจับได้ไล่ทันที่คุณคำนูณ สิทธิสมาน เปิดเผยข้อหมกเม็ดในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๙๐ ที่แยกวรรค (ย่อหน้า) มีผลให้การดำเนินการใด ๆ หรือทำหนังสือสัญญาใด ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเขตแดน ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูล ไม่ต้องฟังความเห็นจากประชาชน ไม่ต้องชี้แจงต่อรัฐสภา เพียงแค่แสดงเจตนาก็มีผล และนำเข้ารัฐสภาเพื่อขออนุมัติเพียงอย่างเดียว
(ดูคลิป: คำต่อคำ“สนธิ”จับผิด“มาร์ค”แก้ ม.190 หวังขายแผ่นดิน- เย้ยเหมือนเด็กขโมยขนมโดนจับได้ คำชี้แจงของนายอภิสิทธิ์เริ่มนาทีที่ ๒๘) รายละเอียดคำพูดจากการถอดเทปของเอเอสทีวีผู้จัดการมีดังนี้ (ขอตัดทอนบางส่วน ทำตัวทึบบางส่วน ฉบับเต็มกรุณาฟังหรืออ่านจากลิ้งค์ข้างต้น)
แต่จากการอภิปรายของสมาชิกหลายท่าน โดยเฉพาะเพื่อนสมาชิกวุฒิสภานะครับ ทีได้แสดงความกังวลว่า ในการยกร่างของคณะกรรมการของท่าน อ.สมบัติ *ขอประทานโทษเอ่ยนามท่าน และที่ทางกฤษฎีกาช่วยดูให้ ** บังเอิญไปแยกปัญหาหนังสือสัญญาตามวรรค 2 และวรรค 3 ออกจากกัน*** ..ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ สอบถามไปยังผู้ร่าง เขาก็ยืนยันว่า จริงๆ ไม่ได้มีเจตนาจะแยก แต่ที่เขียนมาอย่างนี้ เข้าใจว่า ไปดูแนวของรัฐธรรมนูญปี 40 กับ 50**** ก็คือในวรรค 2 ไปเอาแนวของปี 40 มา แล้วก็คงไปเข้าใจว่าตอน 50 ที่ไปแก้ แก้ตอนนั้นเพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดก็คือมีการไปทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ แล้วการตกลงเขตการค้าเสรี การเจรจามันก็ควรจะได้มีกระบวนการตามวรรค 4 วรรค 5 ที่ว่า
ผมกราบเรียนยืนยันกับท่านประธานนะครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ผมก็ไม่สบายใจว่า มันจะไม่ครอบคลุมหนังสือสัญญาตามวรรค 2 ผมก็ยืนยันว่า ถ้าจะกรุณารับหลักการพวกเราจะแปรญัตติให้ควบคุมถึงวรรค 2 เพราะเจตนาไม่ได้มีเรื่องของการไปแยกกระบวนการตรงนี้หรอกครับ แต่สิ่งที่เราต้องการมากที่สุด ก็คือ ประเภทของหนังสือสัญญาที่จะทำ ที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการมาตรา 190 อันนี้คือคำชี้แจงของผม ในฐานะที่เป็นผู้เสนอของร่างรัฐธรรมนูญ
ฟังจากเสียงอาจพอจับอารมณ์ได้ อาการคล้าย ๆ ที่คุณสนธิใช้คำว่า “เด็กขโมยขนม” แต่มีบางเรื่องที่น่าสนใจสำหรับลีลาของนักการเมืองผู้นี้
ประการแรก* จงใจโยนว่าเป็นความผิดพลาดของคณะกรรมการยกร่างชุดของนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ในฐานะคน “ยกร่าง” ความจริงคณะกรรมการชุดดังกล่าวทำหน้าที่แต่เพียงเสนอ “หลักการ” ไม่มีมีการยกร่างหรือทำร่างแต่อย่างใด ลำดับแรกนายอภิสิทธิ์เริ่มประโยคโดยการหาแพะและปัดให้พ้นตัวว่าความผิดพลาดดังกล่าวเกิดจากคณะกรรมการฯ ซึ่งถ้าพูดอย่างจอมหลักการอย่างที่นายอภิสิทธิ์มักแสดงตัวมาตลอด ไม่ว่าความผิดพลาดเกิดจากใครนายกรัฐมนตรีไม่ควรชี้นิ้วไปหาคนอื่นนอกจากตัวเอง เพราะตัวเองอยู่ในฐานะผู้เสนอ “สิ่งผิดพลาด”
ประการที่สอง** นายอภิสิทธิ์ใช้คำว่าทางกฤษฎีกาเป็นผู้ “ช่วยดูให้” ฟังเหมือนว่าคณะที่ปรึกษาทางกฎหมายของรัฐบาลมีส่วนต่อเรื่องนี้เพียงเล็กน้อย ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ คณะกรรมการชุดนายสมบัติเป็นคนเสนอ “หลักการ” ให้รัฐบาล รัฐบาลส่งต่อให้กฤษฎีกา “ยกร่าง” แล้วส่งร่างกลับมาให้รัฐบาลพิจารณา กฤษฎีกาจึงไม่ได้มีบทบาทเบาบางในลักษณะ “ช่วยดู” แต่เป็นตัวหลัก จึงมีคำถามว่าถ้าหากจะเป็นความผิดพลาด ความรับผิดชอบคงเป็นใครไม่ได้นอกจาก “รัฐบาล-กฤษฎีกา” แต่การพูดจาของนายอภิสิทธิ์ในเชิงลดน้ำหนักและบทบาทของกฤษฎีกาส่อนัยยะในมุมที่กลับกันว่า กฤษฎีการ่างตามสั่งของรัฐบาล ซึ่งหมายความว่าการแยกวรรคดังกล่าวเป็นไป “ตามสั่ง” ของรัฐบาล
ประการที่สาม*** นายอภิสิทธิ์ฉลาดเลือกใช้คำว่า “บังเอิญ” เพื่อปัดพ้นข้อสงสัยที่ว่า “มีความจงใจ” ถ้าอธิบายว่านักกฎหมายมือสมัครเล่นร่างก็อาจจะพอรับฟังได้ แต่องค์กรที่เป็นผู้ร่างคือสำนักงานกฤษฎีกาที่ว่ากันว่าเป็นที่รวมปรมาจารย์ทางกฎหมาย มีเกียรติภูมิในการออกกฏหมายเลว ๆ ตามสั่งอย่างแนบเนียนมามากต่อมาก ก็ฟังยากว่าเป็นเรื่องเพียงแค่ “บังเอิญ” หรือถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายกว่านั้น ทำไมนายอภิสิทธิ์ไม่อธิบายไปว่า กด “เอ็นเตอร์” พลาดแล้วตามด้วยปุ่ม “แท็ป” อีกที เข้าใจง่ายกว่ากันเยอะ สองปุ่มต่อเนื่องเป็นความผิดพลาดที่สุดวิสัยจริง ๆ
ประการสุดท้าย**** การอธิบายความอย่างที่เรียกว่าง่ายสุดคือ การยกเป็นความสับสนในความแตกต่างของรัฐธรรมนูญปี ๔๐ และ ๕๐ โดยละเว้นไม่กล่าวถึงว่ารัฐบาลได้ตรวจสอบตรวจทานอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนส่งเข้าสภาแล้วหรือไม่อย่างไร ตรงตามเจตนาหรือไม่ หรือว่าหากไม่ถูกจับได้ไล่ทันข้อหมกเม็ดเสียก่อน ร่างก็ไม่มีข้อผิดพลาดซึ่งเป็นข้ออ้างที่ยกขึ้นภายหลัง
คำพูดไม่กี่คำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถ้าฟังอย่างผิวเผินไม่คิดตามจะเคลิ้มคล้อยได้ง่าย ๆ ฟังดูดี น่ารับฟัง และให้อภัยได้ แต่หากจับแต่ละคำที่ “เลือกใช้” จะเห็นความสามารถในทางภาษาชนิดหาตัวจับยาก เป็นความ “กะล่อน” ขั้นสูงสุด ที่ “ปลิ้น” ได้ทุกสถานการณ์ ..พ่อแม่เตรียมการมาดีจริง ๆ ครับ!!
8 Responses to กะล่อน
11 December 2010 at 09:33
เบื่อหน้าคนนี้จัง เมื่อไหร่จะลงถังขยะซะที
14 December 2010 at 08:33
เขียนได้ดี โดนใจ วันที่ 25 ม.ค. เจอกันนะพี่น้อง
ป.ล. มีรูปเราในบล็อกนี้ด้วย ไม่รู้เจ้าของบล็อกแอบถ่ายเมื่อไหร่ (55) ขอเซฟเก็บไว้เป็นที่ระลึกนะ ไปชุมนุมเป็นปีๆไม่เคยมีรูปถ่ายกับเขาเลย
14 December 2010 at 11:47
โพสต์ไม่ติด ขอลองอีกรอบน้า
วันที่ 25 ม.ค. เจอกันนะพี่น้องเอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
14 December 2010 at 12:17
เพิ่งเช็คเมลเลยเพิ่งเห็น approve ให้แล้วนะครับ
ช่วงนี้ยุ่ง ๆ โอเปร่าเรื่องคาร์เมนเลยไม่มีเวลา
http://www.operasiam.net/tag/carmen/
จะมาตอบเม้นและเมลอีกครั้งนะครับ
15 December 2010 at 13:09
พี่เน ฝากบอกคุณบอริ่งว่ารีบกลับสู่โหมดปกติไวๆ แฟนขับรออยู่
16 December 2010 at 07:15
หลังสัปดาห์คาร์เมน ระหว่างกำลัง “คาแมว” และ “คาเมรุ” ตอนนี้ไม่มีเวลา เมื่อคืนถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน เช้าตื่นมาย้ายภาพที่ถ่ายได้แค่ 400 ภาพ เมมก็ล่ม ภาพหายเกลี้ยง งานเข้าอีก
5 January 2011 at 08:44
สิ่งที่อภิสิทธิ์โยนให้เป็นความผิดของคนรอบข้างก็อาจจะจริง แต่ถ้าจริง(ซึ่งผมไม่เชื่อ) อภิสิทธิ์ก็ลืมบอกไปว่า ปชปและคณะรัฐมนตรี ทีมงาน รวมทั้งตัวอภิสิทธิ์เองก็ห่วยแตก ทั้งๆที่เห็นเรื่องนี้มาแต่ต้นกลับไม่รู้ว่า”บังเอิญ”ผิดมหันต์ขนาดนั้น แต่สว.ที่นำเอกสารไปอ่านแค่ไม่กี่ชั่วโมง กลับมีอย่างน้อยสองท่านที่พบจุดนี้ได้
นี่คือเหตุผลที่ผมไม่เชื่อว่ารัฐบาลไม่รู้เรื่อง ไม่ตั้งใจ กับการแก้รัฐธรรมนูญมาตรานี้ เพราะตรวจพบเรื่องนี้ได้ง่ายมากๆ ง่ายกว่าทำสัญญาบัตรเครดิตหรือประกันเสียอีก
ถ้าคนเกี่ยวข้องไม่อยากเป็นแพะรับบาป ออกมาพูดความจริงให้สังคมรับรู้เถอะครับ ว่าคำสั่งจากรัฐบาลคืออะไร ต้องการแก้ไปทางไหน และนักวิชาการที่รับผิดชอบจุดนี้จนออกมาเป็นตัวร่างคือใคร
14 January 2011 at 12:31
ก็โกหก ตอแหล เอาตัวรอด ไปวัน ๆ เหมือนเดิม