อภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองสมบูรณ์แบบ
ศาสตราจารย์ชาวดัทช์ท่านหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญงานศึกษาด้านวิทยาศาสตร์มือหนึ่งในสิบของโลกหลากสาขา โดยเฉพาะสัตว์ทะเลและคาบเกี่ยว ที่ปัจจุบันวัยแปดสิบกว่า เกิดและโตมาในช่วงสงครามโลก เป็นทั้งครู เพื่อนร่วมงานและเป็นพ่อในทางวิทยาศาสตร์สำหรับผม ช่วงหลายปีที่ร่วมงานกันเราพูดคุยแลกเปลี่ยนในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคม ศาสนา การเมือง หรือแม้แต่เรื่องขำ ๆ
เคยบอกกับผมว่านักการเมืองที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน ล้วนแต่ “โกหก” ในวัยหนุ่มกว่านี้ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายมากนัก เพราะติดมายาว่าการเมืองในประเทศของเขาและในซีกโลกตะวันตกน่าจะดีกว่าความโสมมในบ้านเรา จนโตและเห็นบริบทการเมืองโลกตามที่เป็นจริงมากขึ้น จึงเห็นสิ่งที่พูดว่าเป็น “สัจจะ”
ช่วงเวลาประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพิสูจน์สัจจะนี้ซ้ำ ๆ อย่างนับครั้งไม่ถ้วน ผ่านตัวเอกที่ภาพดีมากจนเหลือเชื่อ คือ ตัวนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยชาติตระกูล การศึกษา ภาพลักษณ์ บุคลิกท่าที การพูดจาที่ดูเหมือนจะมีเหตุผล มีน้ำหนัก น่ารับฟัง น่าเชื่อถือ
หากไม่ได้ติดตามและรู้จริงในสิ่งที่บุรุษหนุ่มผู้นี้พูด ฉาบฉวยผิวเผินไปตามข่าวก็คงไม่ยากจะหลงไหลคล้อยตาม ทั้งที่การให้เหตุผล คำอธิบายแต่ละครั้งนั้นแทบไม่อยู่บนเส้นตรงเดียวกัน เป็นเหตุเป็นผลที่ผลิตใหม่ตามกรรมตามเวลา และตามการถูกจับได้ไล่ทัน
กรณีการแก้รัฐธรรมนูญครั้งล่าสุดนี้อาจเป็นตัวอย่างอธิบายพฤติกรรมได้ชัดเจนอย่างมาก ที่เมื่อต้นปีพูดไว้อย่างหนึ่งว่าไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนระบบเขตเลือกตั้งและจะต้องมีการทำประชามติฟังเสียงประชาชนก่อน ครั้นพอถึงปลายปีกลับให้เหตุผลที่กลับด้านไปโดยสิ้นเชิง ยกข้ออ้างแบบข้าง ๆ คู ๆ ว่า ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยบ้าง กลัวว่าจะถูกกล่าวหาว่าถ่วงเวลาบ้าง หรือคณะกรรมการที่ตัวเองตั้งขึ้นมาแล้วหากไม่ทำตามต่อไปเขาก็ไม่ทำให้ แต่นั่นก็ลักลั่นเลือกมาตามอำเภอใจแค่ ๒ ประเด็นจาก ๖ ประเด็น
หรือเรื่องที่คาบเกี่ยวกันคือยกเอาผลโพลล์เพียงบางเสี้ยวที่เป็นประโยชน์สนับสนุนตัวเองมาพูดจาสมอ้าง ที่ก็มีผู้ซึ่งอ่านโพลล์แบบละเอียดออกมาเปิดเผยว่าผลจริงของโพลล์กลับด้านกับสิ่งที่นายกฯ นำเอามาพูด
อย่างกรณีของมาตรา ๑๙๐ ที่ว่าด้วยการขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาด้วยเรื่องการทำสัญญากับต่างประเทศที่มีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและสังคม กับดินแดน ที่มีการแยกวรรคใหม่และเหมือนจงใจซ่อนเร้นอำพรางความต้องการบางอย่างไว้ โดยเฉพาะประเด็นที่ล่อแหลมต่อการเสียดินแดนกระทั่งถูกกล่าวหาได้ว่า “ขายชาติโดยถูกกฏหมาย” นั้น เมื่อ ส.ว.คำนูณ ออกมาเปิดเผยสิ่งซ่อนเร้น นายกฯ บอกเพียงแต่ว่าเป็นความผิดพลาดและจะเสนอแก้ไขในชั้นกรรมาธิการ พูดง่ายโดยไร้ความรับผิดชอบและไม่มีคำขอโทษแม้สักเศษคำ คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี มีทีมงาน มีที่ปรึกษามากมาย กับการแก้กฎหมายร้อยกว่าตัวอักษรทำผิดพลาดได้ด้วยหรือ และเป็นการผิดพลาดอย่างร้ายแรงอย่างยิ่งที่ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเสียด้วยซ้ำ หากมีความรู้สึกสำนึกและครอบครัวเลี้ยงดูสั่งสอนมาดี กับเรื่องเขียนหนังสือไม่กี่ตัวยังผิดพลาดแล้วการบริหารประเทศที่ใหญ่กว่าจะไม่ผิดพลาดจนมากมายกว่านี้หรอกหรือ
วันรุ่งก็มาให้สัมภาษณ์ซ้ำว่าเป็น “ความผิดพลาดทางเทคนิค” คำเดียวกับที่ทักษิณ ชินวัตร ใช้เมื่อครั้งศาลสั่งเพิกถอนแปรรูปรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง คำถามตัวโตที่ใคร ๆ เขาถามคือผิดพลาดจริงหรือจงใจซุกซ่อน แต่ไม่ว่าทางไหนก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งวันนี้หนึ่งในคณะกรรมการชุดที่เสนอแนวคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สัมภาษณ์ชัดในทำนองว่าเป็นคนละเรื่องกัน ไม่มีการแยกวรรคเพียงแต่เพิ่มรายละเอียดมากขึ้นสำหรับการออกกฎหมายลูกเท่านั้น
เมื่อมีคนไม่เห็นด้วย ทักท้วง คัดค้าน หรือกระทั่งจับได้ไล่ทัน นายกรัฐมนตรีจากตระกูลเวชชาชีวะผู้นี้ก็พูดในทำนองเอาดีเข้าหาตัวเอาชั่วป้ายคนอื่นว่า “ไม่เข้าใจและไม่ยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น” ซ้ำยังลำเลิกว่าปัดร่างฉบับเหวงที่คาราคาซังออกแล้วด้วยซ้ำ
เป็นพระคุณอย่างยิ่ง!! แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังตอบเหตุผลไม่ได้เลยว่าจะรีบแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม และประชาชนจะได้อะไร นอกจากเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ
กับกรณีที่เกี่ยวเนื่องกับปราสาทพระวิหาร คำพูดของนายอภิสิทธิ์ไม่เคยอยู่กับร่องกับรอย หากยกเฉพาะเหตุการณ์ในระยะอันใกล้ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง นายอภิสิทธิ์ลั่นวาจาในรายการโทรทัศน์ว่าจะเปิดเวทีรับฟังความเห็น ทำประชาพิจารณ์ กับกรณีของร่างข้อตกลงเจบีซี ๓ ฉบับ แล้วเรื่องก็เงียบหายกระทั่งวันดีคืนดีก็งุบงิบเอาเข้าสภา แล้วยกเหตุการณ์เป็นคุ้งเป็นแควมาจากไหนไม่ทราบได้ว่าไปรับฟังมาแล้ว แถมให้เหตุผลสุดประทับใจอีกว่าเป็นการแสดงความจริงใจของไทย และที่สุดของเหตุผลคือให้มีความคืบหน้าไปพูดกับฮุน เซน ได้ ไม่นับรวมเรื่องที่โกหกกับตัวแทนของพันธมิตรฯ ว่าจะแค่เอาเข้าแล้วเสนอปิด เช้าพูดอย่างบ่ายทำอีกอย่าง เรียกว่าโกหกระหว่างมื้อทีเดียวเทียว
ในรายการเชื่อมั่นลม ๆ แล้ง ๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาและการให้สัมภาษณ์วันนี้ว่าตนเป็นนายกคนเดียวที่ “กล้าหาญ” พูดกับฮุน เซน ตรง ๆ เรื่องแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร และบอกไทยไม่เห็นด้วยที่เขมรรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย ฟังแล้วน่านับถือกล้าหาญเกินนายอภิสิทธิ์ตัวจริง เพียงแต่ก็น่าสงสัยอีกว่าอภิสิทธิ์โกหกอีกหรือเปล่า เพราะเท่าที่ติดตามความเคลื่อนไหวฝั่งเขมรช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีแต่โฆษก กต. เขมร นายกอย เกือง ออกมาแถลงว่าคุยกันได้ข้อสรุป ๕ ข้อ หนึ่งในนั้นการหาช่องทางถอนทหารออกจากรอบปราสาท ไม่มีการตอบโต้คำพูดของนายอภิสิทธิ์เหมือนอย่างเคย ทั้งที่เขมรปากหมาจะตายชัก ฮุน เซน ก็เงียบ วาร์ คิมฮง ฮอร์ นัมฮง ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเรื่องพระวิหารพากันเงียบหมด เขมรนั้นขึ้นชื่อเรื่องโกหก แต่ก็น่าสงสัยว่าทำไมไม่มีการโต้แย้ง ชวนให้สงสัยว่าไม่ใครก็ใครที่โกหก หรือมีสัญญาใจอะไรกันบางอย่าง ซึ่งนายกอย ยังแถลงข่าวอีกว่านายอภิสิทธิ์และฮุน เซน ต่างหวังว่าร่างเจบีซีจะผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการร่วมในช่วงต้นเดือนธันวาคม อีกทั้งบทสัมภาษณ์ที่นายอภิสิทธิ์มีกับพนมเปญโพสต์ก็ไปในทำนองที่ว่าจะเริ่มต้นกับเรื่องง่าย ๆ จะไม่คุยเรื่องความขัดแย้งที่จะทำให้ความสัมพันธ์ไปผิดทิศผิดทาง
กับสภาวะที่โกหกไปวัน ๆ ยิ่งเป็นการลอกเปลือกเผยตัวตนที่แท้ ยิ่งนับวันยิ่งเสื่อมลงทุกที กับตัวตนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่โกหกปลิ้นปล้อนทุกครั้งที่ขยับปากพูดนั้น นับได้ว่าเป็นนักการเมืองสมบูรณ์แบบ เพราะนักการเมืองล้วนแต่โกหก!